วันต่อต้านยาเสพติดโลก (International Day against Drug Abuse and Illicit Trafficking) ตรงกับวันที่ 26 มิถุนายนของทุกปี ตามประกาศตามมติของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) เป็นวันสำคัญสากล เพื่อต่อต้านการใช้ยาในที่ทางผิด และค้ายาที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยหมายความถึงยาเสพติด ยึดถือเป็นวันสำคัญประจำปีมาตั้งแต่การประกาศเมื่อ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2531
ประเภทสารเสพติดแบ่งได้หลายแบบ ดังนี้
1. การแบ่งประเภทสารเสพติดตามกฎหมาย (พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒) แบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ
1.1 ยาเสพติดให้โทษในประเภทที่ 1 ยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรง เช่น เฮโรอีน แอลเอสดี (LSD) แอมเฟตามีน (Amphetamine) หรือยาบ้า ยาอี (Ecstasy) หรือยาเลิฟ
1.2 ยาเสพติดให้โทษในประเภทที่ 2 ยาเสพติดประเภทนี้สามารถนำมาใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ได้ แต่ต้องใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์ และใช้เฉพาะกรณีที่จำเป็นเท่านั้น ห้ามมิให้ผู้ใดผลิต นำเข้า หรือส่งออกยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 ในกรณีที่มีไว้จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองต้องได้รับอนุญาต เช่น ฝิ่น มอร์ฟีน โคเคน และเมทาโดน
1.3 ยาเสพติดให้โทษในประเภทที่ 3 ยาเสพติดให้โทษที่มีลักษณะเป็นเป็นส่วนผสมของยา โดยมียาเสพติดให้โทษในประเภท 2 ผสมอยู่ด้วย ตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา ห้ามมิให้ผู้ใดผลิต จำหน่าย นำเข้า หรือส่งออกซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 3 เว้นแต่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้ไม่ใช้บังคับกับผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือผู้ประกอบการโรคศิลปะแผนปัจจุบันชั้นหนึ่ง สาขาทันตกรรม จำหน่ายให้แก่คนไข้ของตน หรือผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ชั้นหนึ่ง จำหน่ายใช้กับสัตว์ที่ตนบำบัดหรือป้องกันโรค การนำไปใช้เพื่อจุดประสงค์อื่น หรือเพื่อเสพติด จะมีบทลงโทษกำกับไว้ ยาเสพติดประเภทนี้ ได้แก่ ยาแก้ไอที่มีตัวยาโคเคอีน ยาแก้ท้องเสียที่มีฝิ่นผสมอยู่ด้วย ยาฉีดระงับปวดต่าง ๆ เช่น มอร์ฟีน (morphine) เพทิดีน(Pethidine) ซึ่งสกัดมาจากฝิ่น
1.4 ยาเสพติดให้โทษในประเภทที่ 4 สารเคมีที่ใช้ในการผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 หรือประเภท 2 เช่น Acetic Anhydride ใช้ในการลักลอบผลิตเฮโรอีน , Anthranilic acid และวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทอีก 12 ชนิด ที่สามารถนำมาผลิตยาอีและยาบ้าได้
1.5 ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 เป็นยาเสพติดให้โทษที่มิได้เข้าข่ายอยู่ในยาเสพติดประเภทที่ 1 ถึง 4 ได้แก่ ทุกส่วนของพืชกัญชา ทุกส่วนของพืชกระท่อม เห็ดขี้ควาย เป็นต้น
ล่าสุดได้มีการปรับเปลี่ยนพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่ 7 พ.ศ. 2562 และ ฉบับที่ 8 พ.ศ. 2564 ดังนี้
- ประกาศพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 ให้สิทธิในการใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ในการรักษาและพัฒนาทางการแพทย์ ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผู้ได้รับอนุญาต เพื่อศึกษาวิจัยและพัฒนาให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ และ พร
- ราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2564 ยกเลิกพืชกระท่อมจากการเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เนื่องจากในหลายประเทศมิได้กำหนดให้ พืชกระท่อมเป็นยาเสพติดให้โทษประกอบกับอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 และพิธีสาร แก้ไขอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1972 มิได้กำหนดให้พืชกระท่อมเป็นยาเสพติดให้โทษ กฎหมายจึงประกาศยกเลิกพืชกระท่อมจากการเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5
แต่อย่างไรก็ตามหากมีไว้เพื่อเสพ หรือ มีการผลิต นำเข้า ส่งออก ซื้อขาย โดยที่มิได้รับใบอนุญาต ยังถือว่าผิดกฎหมาย อีกทั้งกัญชา และกระท่อม ยังคงเป็นสารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทซึ่งทำให้เกิดอาการเสพติด อาการถอน และผลข้างเคียงอื่นๆ ต่อร่างกายและสมอง ดังนั้นหากผู้ใช้ไม่ได้ใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ หรืองานวิจัยที่มีการรองรับ สารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทเหล่านี้ยังคงมีผลเสียมากกว่าประโยชน์ที่ได้
2.การแบ่งประเภทสารเสพติดตามแหล่งที่กำเนิด แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
2.1 ยาเสพติดชนิดธรรมชาติ เป็นสารที่กลั่น หรือ สกัดได้จากพืชบางชนิดโดยตรง เช่น ฝิ่น โคเคน กัญชา รวมทั้งการนำสารจากพืชเหล่านั้นมาปรุงเป็นอย่างอื่น โดยกรรมวิธีทางเคมี เช่น มอร์ฟีน เฮโรอีน ซึ่งทำมาจากฝิ่น เป็นต้น
2.2 ยาเสพติดสังเคราะห์ เป็นสารที่ผลิตขึ้นในห้องปฏิบัติการด้วยกรรมวิธีทางเคมี นำมาใช้แทนยาเสพติดธรรมชาติได้ โดยสารที่สังเคราะห์ขึ้นมานั้นออกฤทธิ์เหมือนยาเสพติธรรมชาติ เช่น เมทีครีน ไฟเซปโตน เมทาโดน เป็นต้น
3. แบ่งประเภทสารเสพติดตามการออกฤทธิ์ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
3.1 ยาเสพติดประเภทกดประสาท ได้แก่ ฝิ่น มอร์ฟีน เฮโรอีน สารระเหย และยากล่อมประสาท
3.2 ยาเสพติดประเภทกระตุ้นประสาท ได้แก่ แอมเฟตามีน กระท่อม และ โคคาอีน
3.3 ยาเสพติดประเภทหลอนประสาท ได้แก่ แอลเอสดี ดีเอ็มพี และ เห็ดขี้ควาย
3.4 ยาเสพติดประเภทออกฤทธิ์ผสมผสาน กล่าวคือ อาจกดกระตุ้น หรือ หลอนประสาทได้พร้อม ๆ กัน ตัวอย่างเช่น กัญชา ยาเสพติดให้โทษ นอกจากจะเกิดผลโทษแก่ผู้เสพทางด้านสุขภาพ จิตใจ ครอบครัว และสังคมแล้ว แน่นอนว่าสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือด้านกฎหมาย เมื่อท่านเผลอเข้าไปข้องเกี่ยวกับมันแล้ว โทษแรกคือต้องได้รับโทษขั้นสูงสุด ตามวัตถุเสพติดให้โทษประเภทต่าง ๆ ที่กฎหมายกำหนด
โทษของยาเสพติด แก่ผู้เสพติดสารเสพติด
1. โทษของยาเสพติดทางด้านกฎหมายผู้เสพยาเสพติด
ประเภทที่ 1 และประเภทที่ 2 คือ จำคุก 6 เดือน - 3 ปี หรือปรับ 10,000-60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ประเภทที่ 3 จำนวนไม่เกินกฎกระทรวงกำหนด จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และจำนวนเกินกฎกระทรวงกำหนด จำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท
ประเภทที่ 4 จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 10 กก.ขึ้นไป ถือว่าครอบครองเพื่อจำหน่าย
ประเภทที่ 5 จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. โทษของยาเสพติดทางด้านสุขภาพ โดยสารเสพติดประเภทต่าง ๆ จะทำให้ร่างกายของผู้เสพเสื่อมโทรม สมองถูกทำลาย ทำให้เกิดความเฉื่อยชา ถึงกับกินอาหารไม่ได้ นอนไม่หลับ และภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้ เช่น ถุงลมโป่งพอง จากบุหรี่ ตับแข็ง จากการติดเหล้า และการไม่มีภูมิในการต่อต้านเชื้อโรค ต่าง ๆ
3. โทษของยาเสพติดทางด้านจิตใจ เมื่อผลทางด้านสุขภาพไม่ดี ทำให้มีผลต่อจิตใจ อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย วิตกกังวลต่าง ๆ คลุ้มคลั่ง อาละวาด หรือบางทีเกิดอาการหวาดกลัวผู้คนรอบตัว
4. โทษของยาเสพติดทางด้านครอบครัว สูญเสียเงินทอง ไม่มีงาน ขาดรายได้ เพราะต้องใช้เงินมาซื้อสิ่งเสพติด ซื้อเหล้า เป็นที่มาของการสร้างปัญหาให้ครอบครัวแตกแยก สูญเสียชื่อเสียง
5. โทษของยาเสพติดทางด้านสังคม ขาดเพื่อน สังคมไม่ยอมรับ และไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ทำให้นานวันเริ่มต้องอยู่คนเดียว และเป็นปัญหาก่อให้เกิดอาชกรรมในสังคมได้ง่าย
จากประเภทของยาเสพติดข้างต้น จะเห็นได้ว่ายาเสพติดเหล่านี้ถือเป็นภัยร้ายที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้เสพและคนรอบข้างในหลายด้าน ดังนั้นการรับรู้ถึงผลกระทบเหล่านี้จะช่วยให้เราเข้าใจถึงความร้ายแรงของปัญหา และสามารถป้องกันและแก้ไขได้อย่างถูกต้อง ในเนื้อหาต่อไปนี้คลินิกบำบัดยาเสพติด Day One Rehabilitation Center จะขอกล่าวถึงผลกระทบและโทษของยาเสพติดในแต่ละด้าน โดยเริ่มจากบทลงโทษทางกฎหมายสำหรับผู้เสพ ไปจนถึงผลกระทบที่ลึกซึ้งต่อสุขภาพ จิตใจ ครอบครัว และสังคม
|